ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับ B ต่างกันอย่างไร?

ไข้หวัดใหญ่ A กับ B

ปัจจุบันโรคไข้หวัดใหญ่แบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ประเภท ตามเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ที่ถูกเรียกว่าสายพันธุ์ A, B, C และ D โดยสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดในมนุษย์คือ A และ B

ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์จะมีอาการคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก บางกรณีจึงยากที่จะแยกได้ว่าเป็นสายพันธุ์ใดหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและการทดสอบอย่างถูกต้อง

ดังนั้นบทความนี้จึงจะมากล่าวถึงความเหมือนและความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B รวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบ ความรุนแรง อาการ สาเหตุ การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันอีกด้วยดังนี้

อาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับ B ต่างกันอย่างไร?

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีอาการที่คล้ายคลึงกัน แต่มีความรุนแรงแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ในระดับเล็กน้อยในหลาย ๆ คน ไปจนถึงรุนแรงในบางคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่ที่มีอายุเกิน 64 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่มีภาวะสุขภาพผิดปกติ

ไข้หวัดใหญ่ในทารกมีแนวโน้มที่จะเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน หรือในเด็กที่มีสุขภาพดีส่วนใหญ่ โดยทั้งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B จะมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง

แต่ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการของไข้หวัดใหญ่ชนิด B อาจรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A อาจรุนแรงกว่าอาการไข้หวัดใหญ่ของทั้งสายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B มีแนวโน้มที่จะปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดยเริ่มจากการมีไข้กะทันหัน อาการเริ่มแรกอื่น ๆ เช่น

  • ไอแห้ง
  • น้ำมูกไหล
  • เจ็บคอ
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • ปวดศีรษะ
  • อ่อนเพลีย

แต่หากเด็กเล็กอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย นอกเหนือจากอาการทางระบบทางเดินหายใจด้วย โดยทั่วไปอาการของไข้หวัดใหญ่จะคงอยู่ประมาณสองสามวันไปจนถึงประมาณหนึ่งหรือสองสัปดาห์ แต่ในบางคนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ไข้หวัดใหญ่อาจรุนแรงพอที่จะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ประกอบกับคนที่เป็นอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงก็อาจส่งผลถึงแก่ชีวิตได้

สาเหตุของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับ B ต่างกันอย่างไร?

ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่าง ๆ โดยไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีอยู่ในสัตว์ เช่น นก และหมู เป็นต้น ในขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B แพร่กระจายในมนุษย์เท่านั้น ซึ่งนอกเหนือจากนั้นไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ยังสามารถกลายพันธุ์ได้บ่อยกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อีกด้วย

โดยทั่วไปไวรัสไข้หวัดใหญ่จะทำให้เจ็บป่วยมากขึ้นในช่วงฤดูไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวในแต่ละซีกโลก ชนิดย่อยที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปทุกปี มักติดต่อจากคนที่ติดเชื้อไวรัส ผ่านการไอ จาม หรือถ่ายสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจไปยังพื้นผิวต่าง ๆ และคนอื่นไปสัมผัสและนำเข้าสู่ร่างกาย 

ซึ่งผู้คนมักจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นในช่วง 3-4 วันแรกหลังจากรู้สึกไม่สบาย

กำลังจะจาม

การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B 

การวินิจฉัยสามารถทำได้หลายรูปแบบเริ่มจากกาวินิจฉัยตามอาการ แต่หากมีความเสี่ยงสูงหรือมีอาการรุนแรงอาจต้องตรวจไข้หวัดใหญ่เพื่อยืนยันสาเหตุให้แน่ขัด เช่น การทดสอบหาแอนติเจนของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่สามารถตรวจด้วยตนเองได้ หรือการทดสอบระดับโมเลกุล หรือปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรสแบบ Reverse-Transcription (RT-PCR) นี่เป็นการทดสอบที่แม่นยำที่สุด เป็นต้น

การรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B 

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีวิธีการรักษาในลักษณะเดียวกัน หลาย ๆ คนหายจากไข้หวัดใหญ่ทั้งสองสายพันธุ์ได้ด้วยตัวเอง เช่น การรับประทานยาแก้ไอหรือแก้ไข้ตามใบสั่งแพทย์เพื่อบรรเทาอาการ (ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำจากผู้ให้บริการด้านสุขภาพ

และควรหลีกเลี่ยงแอสไพรินในบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี) พักผ่อนให้เพียงพอ รักษาความชุ่มชื้นในลำคอ เป็นต้น แต่หากอาการดูร้ายแรง กำลังตั้งครรภ์ หรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่ ควรรับการรักษาจากแพทย์และปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด 

การป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B 

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไปได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปี เด็กอายุ 6 เดือนถึง 8 ปี อาจต้องฉีดยา 2 ครั้ง เนื่องจากไข้หวัด A กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วและอาจแพร่เชื้อสายพันธุ์ต่าง ๆ ได้ การได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปีจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลไข้หวัดใหญ่ทุกปีอีกด้วย ส่วนข้อควรระวังอื่น ๆ ที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ ได้แก่:

  • ปิดจมูกและปากด้วยกระดาษทิชชูเมื่อคุณไอหรือจาม
  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนทานอาหารหรือสัมผัสใบหน้า
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่อาจเป็นไข้หวัดใหญ่
  • อยู่บ้านหากคุณคิดว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ เพื่อไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น

อะไรคือความแตกต่างหลักระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

ความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ได้แก่

  • ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A พบได้บ่อยกว่ามาก โดยทั่วไปคือ 75% ของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งหมด มากกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B
  • ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B สามารถทำให้เกิดการระบาดและโรคระบาดได้ แต่มีเพียงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เท่านั้นที่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่
  • ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B พบได้บ่อยในเด็ก และแม้ว่าโดยทั่วไปจะไม่รุนแรงถึงปานกลางในเด็กที่มีสุขภาพดี แต่ก็อาจรุนแรงกว่าในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
  • ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีแนวโน้มที่จะปรากฏในช่วงมกราคมและกุมภาพันธ์ ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มักเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม
  • ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สามารถแพร่เชื้อจากสัตว์ รวมถึงนก สู่คน ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เกิดขึ้นเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น
  • ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กลายพันธุ์ได้เร็วกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ทำให้ยากต่อการสร้างวัคซีนที่ยังคงประสิทธิผลอยู่

สรุป

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B ส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่และเด็กแตกต่างกัน ทั้งสองประเภทติดต่อกันได้มากและแพร่เชื้อได้ง่ายที่สุดในช่วงสองสามวันแรกหลังจากป่วย อาการจะคล้ายกันแม้ว่าจะมีความรุนแรงแตกต่างกันไปก็ตาม คุณอาจมีไข้อย่างรวดเร็วและรู้สึกปวดเมื่อยและเหนื่อยล้า อาการทางระบบทางเดินหายใจจะเกิดขึ้นในภายหลัง แต่หากคุณกำลังตั้งครรภ์ อายุเกิน 64 ปี มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ หรือเบาหวาน ควรเข้ารับการรักษากับแพทย์อย่างเร่งด่วนเพื่อรับยาต้านไวรัสที่ช่วยลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงลงได้ 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *